Data Analytics ใช้ทำอะไรในธุรกิจ และข้อมูลแบบไหนที่วิเคราะห์แล้วเกิดประโยชน์จริง

Data Analytics หรือ “การวิเคราะห์ข้อมูล” ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในองค์กรทุกขนาด ตั้งแต่ Startup ไปจนถึงบริษัทข้ามชาติ
หลายองค์กรทราบดีว่า Data มีค่า แต่กลับไม่แน่ใจว่าจะเริ่มใช้มันอย่างไรให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดได้จริง

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า Data Analytics ใช้ทำอะไรในธุรกิจได้บ้าง พร้อมแนะแนวว่า “ข้อมูลแบบไหน” ที่จะช่วยให้คุณวิเคราะห์แล้วได้ประโยชน์สูงสุด

(more…)

ในยุคที่ความแม่นยำและประสิทธิภาพของการเก็บข้อมูลคือหัวใจของการวิจัย ระบบสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์แบบ CATI หรือ Computer-Assisted Telephone Interviewing กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการข้อมูลที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกว่า CATI คืออะไร และเพราะเหตุใดจึงควรเลือกใช้แทนการสัมภาษณ์โทรศัพท์แบบทั่วไป

(more…)

การบริหาร Agent ในงาน Call Center ให้สามารถรับสายโทรศัพท์และตอบแชทได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Omni-channel หรือ Multi-skill Agent Management) ต้องอาศัยการวางแผน การจัดสรรทรัพยากร และการใช้เทคโนโลยีร่วมกัน โดยมีแนวทางที่แนะนำดังนี้ :

(more…)

ในปี 2025 งานที่เหมาะกับ Call Center ยังมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมและแนวโน้มของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างงานที่น่าสนใจ ได้แก่  (more…)

คำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับงาน Call Center มีหลายคำที่ช่วยในการอธิบายและจัดการการสื่อสารกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือคำศัพท์ที่พื้นฐานที่สำคัญในงานของ Call Center:

IVR (Interactive Voice Response) ระบบตอบรับเสียงอัตโนมัติที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกเมนูต่าง ๆ หรือดำเนินการตามคำสั่งเสียงก่อนที่จะติดต่อกับตัวแทน

ACD (Automatic Call Distributor) ระบบที่ช่วยกระจายสายโทรศัพท์จากลูกค้าไปยังตัวแทนที่พร้อมให้บริการหรือมีทักษะที่เหมาะสม

CTI (Computer Telephony Integration) – เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อระบบโทรศัพท์กับระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าและจัดการสายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Call Monitoring – การฟังการสนทนาของตัวแทนกับลูกค้าเพื่อประเมินคุณภาพการบริการและให้คำแนะนำ

Call Recording – การบันทึกการสนทนาของตัวแทนกับลูกค้าเพื่อการประเมินหรือแก้ไขปัญหาในภายหลัง

Call Transfer – ฟังก์ชั่นการโอนสายจากตัวแทนคนหนึ่งไปยังคนอื่นเมื่อมีการต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม

SLA (Service Level Agreement) – ข้อตกลงการบริการที่กำหนดเวลาหรือเงื่อนไขที่ต้องการในการรับสายหรือให้บริการ

FCR (First Call Resolution) – การแก้ไขปัญหาหรือการตอบคำถามของลูกค้าให้เสร็จสิ้นในการโทรครั้งแรก

Average Handle Time (AHT) – เวลาที่ตัวแทนใช้ในการรับสาย, ให้บริการลูกค้า, และสรุปข้อมูลหลังจากเสร็จสิ้นการสนทนา

Abandoned Call – สายที่ลูกค้าเลือกวางสายก่อนที่ตัวแทนจะสามารถรับสายได้

Wrap-Up Time – เวลาที่ตัวแทนใช้ในการบันทึกข้อมูลและสรุปหลังจากเสร็จสิ้นการสนทนา

Hold Time – เวลาที่ลูกค้าต้องรอในขณะที่สายถูกหยุดระหว่างการสนทนาหรือรอให้ตัวแทนรับสาย

Outbound Call – การโทรออกจาก Call Center ไปยังลูกค้า เช่น การสำรวจความคิดเห็น หรือการติดตามปัญหาต่างๆ

Inbound Call – สายที่โทรเข้ามายัง Call Center จากลูกค้าเพื่อขอความช่วยเหลือหรือสอบถามข้อมูล

Dialer – ระบบที่ช่วยในการโทรออกแบบอัตโนมัติจาก Call Center โดยการเลือกหมายเลขโทรศัพท์จากฐานข้อมูล

CRM (Customer Relationship Management) – ระบบจัดการข้อมูลลูกค้าและประวัติการติดต่อเพื่อให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Queue Time – เวลาที่ลูกค้ารอในคิวก่อนที่จะได้รับการบริการจากตัวแทน

คำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและสามารถจัดการระบบโทรศัพท์ใน Call Center ได้ดีขึ้น

การเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมีอาการหรือสัญญาณต่าง ๆ เกิดขึ้นกับร่างกาย เราจึงมักมีข้อสงสัย สอบถาม หาความรู้ ตลอดจนหาข้อมูลรายละเอียดซื้อผลิตภัณฑ์มาดูแลสุขภาพร่างกาย ป้องกันเกิดปัญหาจึงเป็นช่องทางให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ด้านดูแลร่างกาย หาช่องทางการเข้าถึงคนกลุ่มนี้ให้ได้รับความสะดวก รวดเร็วมากที่สุด ช่องทางออนไลน์จึงมีบทบาทอย่างปฏิเสธไม่ได้

มาดูกันว่า การจะตอบแบบไหนถือเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ลูกค้าสนใจในสินค้าและบริการ มีเทคนิคอะไรกันบ้าง

1. ความประทับใจแรกต้องเกิด

ความประทับใจแรกเป็นสิ่งที่สำคัญในการสื่อสาร ให้นึกภาพว่า ทุกการทักเข้ามา อาจนำพามาซึ่งการปิดการขาย สำคัญที่สุดคือ ในเรื่องของการตอบกลับที่รวดเร็ว รวมถึงให้ข้อมูลตามที่ลูกค้าต้องการ บางเพจจะมีการใช้ระบบตอบกลับอัตโนมัติ Chat Bot หรือ Chat E-commerce เข้ามาใช้ร่วม เพื่อไม่ให้เกิดการรอนาน แต่ทั้งนี้ ลูกค้าต้องการคุยกับคน แนะนำให้มีการกำหนดระยะเวลาในการตอบกลับลูกค้า ความประทับใจแรกเหล่านี้ ถ้าทำได้ดีแต่ต้น คาดว่า คุณจะได้ลูกค้าเพิ่มแน่นอน

2. ความรู้ ความเข้าใจ ครบถ้วน พร้อมตอบครบจบในตอน

การตอบแชทด้านสุขภาพ เจ้าหน้าที่ต้องผ่านการอบรมให้เข้าใจหลักการสอบถาม แนวทางการให้ข้อมูล เช่น ต้องสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับคนสอบถาม อายุ โรคประจำตัว ยาที่รับประทาน ไลฟ์สไตล์ เพราะมีผลอย่างมากในการแนะนำ ต่อยอดการขาย ควรมีที่ปรึกษาด้านนี้โดยตรงดูแลอย่างใกล้ชิด
เรื่องผลิตภัณฑ์ทุกตัวอย่างละเอียด ไว้ให้พร้อม ตอบกลับในประเด็นที่ลูกค้าสอบถามได้ในทันที
เปรียบเทียบความแตกต่างและราคาของผลิตภัณฑ์ และบริการแต่ละตัว หรือการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เพื่อเป็นการสร้างตัวเลือกที่หลากหลายให้ลูกค้าได้ตัดสินใจอย่างอิสระ
หรือถ้าเป็นคำถามที่ยังตอบกลับไม่ได้ในขณะนั้นก็สืบค้นข้อมูล หรือส่งให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

3. เสริมด้วยระบบ CRM ที่ใช้งาน เพื่อความเป็นมาตรฐาน และมืออาชีพ

การที่จะตอบกลับ ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ข้อมูลลูกค้า หรือผลิตภัณฑ์ บริการได้ดี ต้องมีตัวช่วยเสริมนำมาใช้ คือ ระบบการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า Knowledge Bases และมีระบบ CRM (Customer Relationship Management) จะทำให้การทำงานรวดเร็ว ตอบได้ตามระยะเวลา เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย เพราะระบบจะเป็นที่จัดเก็บข้อมูลของลูกค้าไว้ทั้งหมด ทั้งยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนการดูแลลูกค้าต่อไปได้ในอนาคตด้วย

4. เช็คข้อความก่อนส่งทุกครั้ง อย่ารีบจนเกินไป

สิ่งหนึ่งในการตอบแชทที่ต้องระมัดระวังคือ การส่งข้อมูลผิด การแชทสื่อสารที่อาจสะกดผิด หรือกระทั่งการส่งรูปภาพที่ไม่เกี่ยวข้อง ฉะนั้นทุกการสื่อสารกับลูกค้า จึงควรตรวจสอบก่อนการส่งทุกครั้ง
เจ้าหน้าที่อาจใช้ผ่านเครื่องมือไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป หรือโทรศัพท์มือถือ อาจต้องตรวจเช็คเรื่อง ระบบการสะกดคำ บนแป้นพิมพ์ อาจทำให้ได้ข้อความที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้องส่งผ่านไปที่ลูกค้า

5. ต้องสรุปแนวทางการดูแลสุขภาพ พร้อมปิดการขาย

การตอบแชทด้านสุขภาพ จะแตกต่างจากการขายในบางรูปแบบ เจ้าหน้าที่ต้องมีความรู้ ผ่านการอบรมอย่างที่บอกไปแล้ว การให้บริการจะต้องสรุปปัญหา แนะนำการใช้ วิธีดูแลสุขภาพ หรือนัดหมายให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
จากนั้นสรุปยอดที่ลูกค้าสั่งซื้อสินค้ากี่ชิ้น เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ จัดส่งที่ไหน เพื่อให้ลูกค้าได้ตรวจสอบก่อนชำระค่าสินค้าและป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นตามมา อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือ และเพิ่มความประทับใจให้ลูกค้าต้องการกลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง เจ้าหน้าที่เองก็ต้องมีการตรวจสลีปการโอนชำระให้ถูกต้องด้วย

6. อย่ากดดันตนเอง สร้างความมั่นใจ ยังไม่ซื้อ แต่สร้างการจดจำที่ดีให้ลูกค้า!!

ไม่ใช่ทุกครั้งที่ทุกการแชท จะมียอดการสั่งซื้อในทันที ลูกค้าอาจจะเข้ามาสอบถาม ปรึกษาโรค ปรึกษาผลต่อร่างกายก่อน บางรายเข้ามาเปรียบเทียบราคา อาจค่อยตัดสินใจซื้อเมื่อพร้อม หรือไม่ซื้อเลยก็ได้
เป็นเรื่องปกติที่ลูกค้ายังไม่สนใจ เงียบหาย ไม่ตอบกลับ หรือปฏิเสธทันที อย่าเพิ่งท้อ หงุดหงิด หรือโกรธ
เสริมอีกนิด เจ้าหน้าที่ไม่ควรเมินลูกค้า หรือตัดลูกค้าออกไปเลย แนะนำอยากให้รักษาความสัมพันธ์อันดี อาจบอกลูกค้า “ขอบคุณที่ให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์ของเรานะคะ สามารถสอบถามข้อมูลได้ตลอด เรายินดีให้บริการนะคะ”
เป็นต้น

ท้ายสุดนี้ เทคนิคที่สำคัญจากที่กล่าวมาทั้งหมด ที่สำคัญอันดับต้น ๆ คือ เจ้าหน้าที่ต้องมีความรู้ ผ่านการอบรม ด้านสุขภาพมาอย่างดี เพราะการแนะนำต้องชัดเจน ถูกต้อง มันหมายถึงความปลอดภัยของลูกค้า ยิ่งขายได้ดี การรักษาลูกค้าก็ยิ่งสำคัญตามไปด้วย

Call/Contact Center Trend 2025: มุ่งสู่ประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อ

เทรนด์ของศูนย์บริการลูกค้า (Call/Contact Center) ในปี 2025 กำลังก้าวสู่ยุคแห่งประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อ (Seamless Customer Experience) ที่เน้นความสะดวกสบายและความพึงพอใจสูงสุด โดยมีแนวโน้มสำคัญดังนี้

1. AI และ Automation เข้ามาขับเคลื่อน:

  • AI-Powered Chatbots: แชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการตอบคำถามพื้นฐาน แก้ไขปัญหาเบื้องต้น และแนะแนวทางให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • Automation: การใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการงานซ้ำๆ เช่น การจอง การชำระเงิน และการตรวจสอบข้อมูล จะช่วยลดภาระงานของพนักงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

2. Multi-Channel Integration:

  • การผสานช่องทางการสื่อสาร: ศูนย์บริการลูกค้าจะต้องสามารถรองรับการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ แชทสด อีเมล โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันมือถือ
  • Contextual Communication: การบันทึกข้อมูลการสื่อสารกับลูกค้าในทุกช่องทาง เพื่อให้พนักงานสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วนและให้บริการได้อย่างตรงจุด

3. Data-Driven Decision Making:

  • การวิเคราะห์ข้อมูล: การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการสื่อสารกับลูกค้า เพื่อค้นหาปัญหาและความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง
  • ปรับปรุงกระบวนการ: ใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกระบวนการให้บริการ ปรับปรุงประสิทธิภาพ และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

4. Focus on Customer Experience:

  • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ผ่านการให้บริการที่เป็นเลิศ เข้าใจความต้องการของลูกค้า และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
  • Personalization: การปรับแต่งประสบการณ์การบริการให้ตรงกับความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละราย

5. Workforce Optimization:

  • พัฒนาทักษะของพนักงาน: การพัฒนาทักษะของพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI และ Automation รวมถึงการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารและการแก้ไขปัญหา
  • สร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน: การสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานเพื่อให้มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี

ในอนาคต ศูนย์บริการลูกค้าจะต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและรักษาฐานลูกค้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เพื่อให้การพัฒนาของธุรกิจสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ลองเริ่มมองหาเทคโนโลยีที่สนับสนุนการทำงานของ AI การพัฒนาทีมบุคลากรทำงานร่วมกัน AI Agent เพื่อสร้างประสบการณ์การสื่อสารกับลูกค้าใหม่ๆ นะคะ

ในการบริหารงาน Contact Center มักพูดถึงตัวชี้วัดด้าน Performance ซึ่งเป็น output สุดท้ายของ Contact Center เช่น

  1. % Service Level จะกำหนดในรูปแบบเช่น % SL ที่ 80/20 ซึ่งหมายถึงจำนวนสายที่เข้ามาต้องรับได้ทั้งหมด 80% ภายใน 20 วินาที

  2. % Abandon Rate จะกำหนดในรูปแบบ Abandon Rate <5% คือจำนวนสายที่รับไม่ได้ ต้องไม่เกิน 5%

  3. % First Call Resolution หมายถึง case ที่เข้ามาสามารถให้คำตอบและปิดได้ใน call แรก

  4. % Sales Achievement ในงานขาย สิ่งที่วัดผลคือเป้าหมายการขาย

หัวหน้างาน Contact Center หลายๆ คน เวลานำเสนอทีมบริหารแล้ว ไม่สามารถให้เหตุผลได้ทำไมถึงไม่สามารถได้เป้าหมายตามที่วางไว้ และเรามีแผนอะไรในการดำเนินการต่อไป ซึ่งการบริหาร Contact Center การวิเคราะห์ข้อมูล เราคงต้องมาดูก่อนว่าเราเตรียมข้อมูลเพื่อเป้าหมายการใช้งานอย่างไรบ้าง ดังนี้

  1. วิเคราะห์แนวโน้มของ Performance ของ Contact Center

  2. เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจการบริหาร Daily Operation การจัดการทั้งในเรื่อง กำลังคน เทคโนโลยี และ Process ได้อย่างถูกต้อง

  3. จากข้อมูลที่ได้ การจัดกลุ่มและวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้องจะทำให้เรากำหนดกลยุทธ์การบริหารที่ถูกต้องและเพิ่ม Performance ของการบริหารจัดการ Contact Center ในที่สุด

ดังนั้นการบริหารจัดการ Contact Center เพื่อให้ได้ภาพรวมในการบริหารอย่างแท้จริง ควรมีการเก็บข้อมูล โดยสรุป ดังนี้คะ

  1. การวัด Customer Performance

    1. ความพึงพอใจลูกค้า (Customer Satisfaction) จะเป็นการเก็บการงานวิจัยโทรสอบถามความพึงพอใจ หรือแบบ end call survey จากระบบก็ได้คะ

    2. First Call Resolution ซึ่งสามารถดูได้จากระบบ CRM ใน Contact Center

    3. Net Promoter Score (NPS) วัดความภักดีของลูกค้า เพื่อดูว่าจะมีลูกค้าที่บอกต่อบริการของเราให้กับคนอื่นๆ มากแค่ไหน

    4. %Pending Case เป็นจำนวน Case ที่ยังไม่สามารถแก้ไขให้ลูกค้าได้

    5. %Customer Complaint เป็นจำนวนลูกค้าที่ Complaint ทั้งที่มาจาก call, email หรือผ่านทาง social media ต่างๆ

  2. การวัด Service Performance

    1. % Service Level ดังได้กล่าวไปแล้ว

    2. Average Speed of Answer (ASA) วัดความเร็วในการรับสาย ซึ่งสามารถดูจากระบบ Contact Center

    3. Case Management ดูจากปิด case ได้ตามเวลาที่กำหนด case ค้างในระบบ (backlog)

    4. Quality Management ในการบริหาร Contact Center จะมีทีม Quality Assurance ซึ่งจะมีการกำหนดเป็นแบบ form มาตรฐานในการวัดคุณภาพการบริการ และจะให้เป็น QA Score ว่าคะแนนขั้นต่ำต้องมีคะแนนเท่าไหร่ถึงผ่าน การทีม QA เองจะวัดผลในเรื่องของ soft skill เช่น greeting/ending ได้อย่างถูกต้อง พนักงานมีการฟังและสรุปใจความได้อย่างเหมาะสม มีการ identify ปัญหาและความต้องการลูกค้าได้อย่างถูกต้อง การรอบรู้ในสินค้า/บริการและให้ข้อมูลลูกค้าได้อย่างถูกต้อง และในปัจจุบันจะมีการวัดในด้านการสร้างประสบการณ์ในการสนทนาที่ประทับใจให้กับลูกค้าเพิ่มด้วย

  3. Efficiency Performance จะวัดเพื่อดูการบริหารจัดการต้นทุนในการปฎิบัติงาน

    1. Agent Utilization มีการประมาณการและใช้ agent ได้อย่างเหมาะสมกับ call หรือ contact อื่นๆ ที่เข้ามา ซึ่งถ้าจัด agent มากเกินไปก็จะหมายถึงต้นทุนที่มากขึ้น และถ้าน้อยไป ก็จะทำให้การให้บริการไม่เพียงพอ มีผลต่อคุณภาพการบริการ และ % abandon

    2. Average Handle Time เป็นเวลาที่ใช้ในการบริหารจัดการ call ที่เข้ามาจะรวม เวลาในการรับสายและเวลาในการบันทึกข้อมูลในระบบ ควรมีการกำหนด target ที่เหมาะสม นอกจากนี้ในกรณี Agent น้องใหม่ อาจใช้เวลาที่มาก คงต้องให้ supervisor หรือ trainer เข้ามาช่วย coach กันในช่วงเริ่มต้นนะคะ

  4. People Performance

    1. Recruitment/Hiring จะดูการรับว่าได้ตาม qualification และเวลาที่กำหนดหรือไม่

    2. Training attended มีการเข้าอบรมตามหลักสูตรที่กำหนดหรือไม่

    3. %Attrition/Absenteeism วัดการลาออก และการขาดงานของ Agent

  5. Technology Performance

    1. % system downtime จะวัด ระบบมีการ downtime บ่อยแค่ไหน

    2. Duration of downtime วัดระยะเวลาที่ระบบใช้งานไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดจะมีผลต่อการให้บริการ

  6. Workforce Performance

    1. Forecast accuracy ตรงนี้จะวัดผลความสามารถหน่วยงานที่วางแผนกำลังคนและจัดกะในแต่ละเดือน ว่าจะสามารถจัดคนได้ตาม call ที่เข้ามาในแต่ละช่วงเวลา ได้อย่างใกล้เคียงแค่ไหน

  7. Knowledge base Performance

    1. On Time ข้อมุลที่จะให้บริการลูกค้าก็เป็นอีกส่วนงานที่ต้องจัดเตรียมเข้าระบบ ข้อมูล promotion ที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ต้องมีการ update ตามเวลาที่กำหนดคะ มิฉะนั้นจะเกิดกรณีที่ให้ promotion ที่หยุดไปแล้วได้คะ

    2. Accuracy ความถูกต้อง ก็เป็นอีกหนึ่งการวัดผล เพราะหลายๆ ครั้งที่เจอ ข้อมูลที่มาถึง contact center เป็นข้อมูลที่ผู้บริการยังไม่ approve และอาจเกิดความผิดพลาดในการให้ข้อมูลกับลูกค้าของเราได้คะ

โดยสรุปจะเห็นว่า มืออาชีพการบริหาร Contact Center จะเก็บข้อมูลจากทุกๆ ส่วนงานเลยนะคะ และถ้าเราเอาข้อมูลมาสรุปผลและวิเคราะห์ให้ดี จะให้ปัญหา หรือ โอกาสในการบริหาร Contact Center ได้อย่างมืออาชีพกันนะคะ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม https://line.me/R/ti/p/%40sig7939h

คุณภาพการบริการของ Call Center หรือ Contact Center นับเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจที่เป็น Service Oriented การที่ธุรกิจบริการในรูปแบบ Contact Center จะรักษาระดับมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพอย่างเสมอต้นเสมอปลายนั้น จำเป็นจะต้องมีหน่วยงานหลักที่คอยตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน (Quality Control) ในการให้บริการของพนักงานภายใน Contact Center โดยตรง ซึ่งหน่วยงานดังกล่าว ได้แก่ ฝ่ายควบคุมคุณภาพ หรือฝ่ายรับประกันคุณภาพ (Quality Assurance)

มักมีคำถามที่พบบ่อยครั้ง ถามว่า “การให้บริการประเภท Contact Center เจ้าของกิจการจะมั่นใจหรือแน่ใจได้อย่างไรว่าลูกค้าที่มาใช้บริการ Contact Center ของบริษัท จะได้รับงานบริการที่มีคุณภาพและลูกค้าพึงพอใจหลังการใช้บริการ”

แนวทางหนึ่งที่มักนำมาใช้ในการประเมินผลสำหรับงานบริการประเภทนี้ก็คือ การทำ Silent Monitoring ด้วยเทคโนโลยี Telephony System ซึ่งมีระบบอัดเสียงอัตโนมัติภายในระบบปิดของ Contact Center โดยฝ่ายควบคุมคุณภาพจะดำเนินการฟังการสนทนาระหว่างลูกค้ากับเจ้าหน้าที่ Call Agent เพื่อทำการวัดผลการสนทนา การวัดผลดังกล่าวควรมีการให้คะแนนคุณภาพการให้บริการ เรียกว่า Call Quality Score

Call Quality Score เป็นดัชนีวัดคุณภาพการให้บริการของ Call Center โดยเป็นการให้คะแนนจำแนกตามตัวแปรย่อยแต่ละด้าน อาจแบ่งออกเป็นด้านต่างๆ เช่น ด้านมารยาทน้ำเสียง ด้านความรู้ในผลิตภัณฑ์และการตอบคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ด้านไหวพริบและปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เป็นต้น การกำหนดมาตรฐานการประเมิน ควรมีการจัดทำเป็นแบบฟอร์มจำแนกเป็นการประเมินด้านต่างๆ ซึ่งอาจมีการนำวิธีการถ่วงน้ำหนักมาประยุกต์ใช้ เนื่องจากตัวแปรแต่ละด้านมีความสำคัญไม่เท่ากันจึงให้น้ำหนักที่ต่างกัน

เหตุใดต้องมีการตรวจประเมินคุณภาพ “เพื่อเป็นการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ Contact Center และเพื่อที่ผู้ให้บริการจะได้แน่ใจได้ว่าลูกค้าได้รับการบริการตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในแต่ละงาน” ช่วยลดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และกรณีที่พบข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นขณะตรวจสอบฝ่ายควบคุมคุณภาพก็สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ Call Agent ได้ทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้าได้ นอกจากนั้น ยังใช้เป็นแนวทางในการฝึกอบรมการให้บริการของ Supervisor Call Center ได้อีก เนื่องจากหัวหน้างานจะทราบข้อควรปรับปรุงของ Call Agent แต่ละรายจากงานตรวจสอบดังกล่าว

บางความคิดเห็นอาจมองว่า “ฝ่ายควบคุมคุณภาพเป็นหน่วยงานที่เข้ามาจับผิดการให้บริการของพนักงาน Contact Center” ซึ่งในมุมมองที่ถูกต้องนั้นฝ่ายควบคุมคุณภาพเป็นหน่วยงานที่ช่วยเข้ามาตรวจสอบ คุณภาพการให้บริการของ Contact Center ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งหน้าที่หลัก ได้แก่

Side by Side Monitoring

การฟังสายการสนทนา (Call Monitoring) โดยผู้ตรวจสอบ นั่งข้างๆเจ้าหน้าที่รับสาย Call Agent และฟังการให้บริการของเจ้าหน้าที่ แบบ 3 สาย (ลูกค้าไม่ทราบว่ามีบุคคลที่สามฟังการให้บริการอยู่) การ Monitor ด้วยวิธีนี้สามารถช่วยฝึกอบรม หรือให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหา ณ สถานการณ์นั้นได้อย่างทันท่วงที แต่การ Monitor โดยวิธีนี้ อาจสร้างความรู้สึกอึดอัดให้กับเจ้าหน้าที่ และไม่กล้าให้การบริการอย่างเต็มที่ วิธีนี้เหมาะสำหรับการฝึกสอนเจ้าหน้าที่ Call Agent ใหม่หรือการให้บริการงานที่มีความยากระดับที่ต้องควบคุม

Silent Monitoring

การฟังสายการสนทนาแบบเงียบ (Silent Monitoring) โดยการฟังสายสนทนาแบบนี้ เจ้าหน้าที่รับสาย Call Agent และลูกค้าจะไม่ทราบว่ามีการดักฟังการสนทนาอยู่ วิธีนี้เจ้าหน้าที่จะให้บริการลูกค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่ไม่ต้องรู้สึกกดกันว่าจะเกิดความผิดพลาดในระหว่างการให้บริการ การทำ Silent Monitoring สามารถทำได้ 2 แบบ คือ Real Time (โดยระบบโทรศัพท์จะต้องรองรับการฟังสายแบบ Silent) และตรวจสอบจากระบบอัดเสียง (Call Recording System)

Mystery Shopper

ผู้ทำ Call Monitoring โทรไปยัง Call Center โดยแสร้งเป็นลูกค้าที่โทรเข้ามาติดต่อและจะสอบถามข้อมูลเสมือนลูกค้าทั่วไป พร้อมกับมีการตรวจสอบการให้บริการไปด้วย การทำ Mystery Shopper มีข้อที่ควรจะต้องระวังก็คือ เจ้าหน้าที่ Call Agent อาจจำเสียงของผู้ที่ทำการ Monitor ได้ มีการตั้งคำถามที่ไม่เหมือนคำถามที่ลูกค้าถามทั่วไป หรือการสนทนาที่มีข้อมูลมากกว่าลูกค้าทั่วไป อาจจะทำให้เจ้าหน้าที่ Call Agent สงสัยและอาจคาดเดาได้ว่า สายสนทนานี้อาจไม่ใช่ลูกค้าจริงๆ ซึ่งจะเพิ่มความระมัดระวังในการให้บริการ ทำให้ผลที่ได้รับจากการตรวจสอบไม่ได้ตามจริงที่ควรจะเป็น

ติดตามความรู้เกี่ยวกับการทำงาน Call Center ได้ที่ http://www.thailandcontactcenter.com/ หรือต้องการจ้าง Outsource Call Center สามารถดูได้ที่ รวมแหล่ง Outsource call center

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม https://line.me/R/ti/p/%40sig7939h

การเป็นเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า Call Center จำเป็นต้องใช้ทักษะในการทำงานที่หลากหลายทั้ง การพูด การฟัง การจับประเด็น หรือการนำเสนอขาย ซึ่งปัจจุบันหลายองค์กรหันมาให้ความสำคัญกับศูนย์บริการข้อมูล Call Center ซึ่ง ทำหน้าที่ให้ข้อมูล หรือนำเสนอสินค้าและบริการขององค์กร ช่วยเหลือ ประสานงานและติดตามผลการดำเนินงาน รวมทั้งแก้ไขปัญหาและรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่พบ ซึ่งพบว่ามีปัจจัยมากมายที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจของลูกค้า จนทำให้ลูกค้าร้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นตัวสินค้า กระบวนการให้บริการ หรือตัวพนักงานบริการเอง ซึ่งความไม่พึงพอใจดังกล่าว อาจเกิดจากอารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และความต้องการหรือความคาดหวังของลูกค้า ที่ไม่ได้รับการตอบสนอง สรุปคือ ทุกสิ่งล้วนเป็นชนวนจุดระเบิดอารมณ์ได้ทั้งสิ้น ดังนั้น เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า Call Center จึงต้องมีวิธีในการรับมือเมื่อลูกค้าที่โทรเข้ามาร้องเรียน ซึ่งมาพร้อมกับความไม่พึงพอใจในเรื่องต่าง ๆ  ดังนี้

ขั้นที่ 1  รับฟังเพียงอย่างเดียว  โดยไม่ต้องแสดงออกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือโต้เถียงใด ๆ ถึงแม้ว่าลูกค้าจะมีส่วนผิดด้วยก็ตาม หากจะพูดอะไรมากไปกว่าการกล่าวคำ “ขอโทษ” ในขณะที่ลูกค้ากำลังหัวเสียอยู่นั้น ลูกค้าก็จะยิ่งปิดตัวเองและชวนทะเลาะหนักขึ้น เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า Call Center ควรเอาตัวรอดจากปัญหาตรงหน้าโดยการรับฟัง ก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหาที่สร้างความไม่พึงพอใจให้กับลูกค้า อย่าเอาแต่ปกป้องตัวเอง เพราะบางทีลูกค้าอาจต้องการเพียงระบายออกมาเท่านั้น เพราะฉะนั้นจงปล่อยให้ลูกค้าพูด ซึ่งหากบางครั้งเขาชวนคุณทะเลาะ แต่หากคุณไม่พูดจาขัดคอ สุดท้ายอารมณ์เขาจะค่อย ๆ สงบลงเอง

ขั้นที่ 2  พูดทวนและเน้นย้ำสิ่งที่ลูกค้าพูด  การพูดทวนในสิ่งที่ได้ยินลูกค้าพูด เพื่อเป็นการแสดงความเข้าใจในคำร้องเรียน นั้น รวมทั้งแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าเราตั้งใจฟังและเข้าใจในปัญหาของลูกค้า โดยอย่าใช้คำพูดว่า “เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย” หรือ “แปลกใจเหลือเกินที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” เพราะจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเค้าเป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น

ขั้นที่ 3  แสดงความเห็นอกเห็นใจ สิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะไม่ทำให้สถานการณ์เฉพาะหน้าแย่ลง คือการจัดการกับอารมณ์ด้านลบของลูกค้าที่กำลังร้องเรียน ดังนั้นการรับฟังและเข้าใจปัญหาด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง ถือเป็นวิธีที่ทำลูกค้าที่กำลังเดือดดาล สงบลงได้อย่างรวดเร็ว โดยเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า Call Center ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา และใช้คำพูดแสดงความเห็นใจ เช่น “เราเข้าใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึก………… ซึ่งทางเราก็คิดว่า อย่างไรแล้วขอให้คุณมั่นใจว่าทางเราจะไม่เพิกเฉยกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากเราก็คิดว่าปัญหานี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เช่นกัน”

ขั้นที่ 4 แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า Call Center ควรเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาหรือบอกให้ลูกค้าทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อชดเชยความผิดพลาดที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งบอกถึงระยะเวลาในการดำเนินนการแก้ไข เช่น จะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและแจ้งผลการดำเนินการให้ทราบภายใน……วัน (กรณีที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวของเจ้าหน้าที่บริการลูกค้าเอง) จะทำการเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่โดยจะส่งไปภายใน…..วัน หากไม่ได้รับตามวันที่กำหนดสามารถติดต่อได้ที่………..

ขั้นที่ 5 รายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหา หากเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า Call Center รับเรื่องแล้วก็หายไป โดยลูกค้าไม่รู้เลยว่ามีการแก้ปัญหาอย่างไร หรือจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกคับข้องใจ ซึ่งการรายงานความคืบหน้าสามารถเริ่มทำได้จาก แจ้งให้ลูกค้ารู้ว่าทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องไว้เรียบร้อย ขณะนี้มีการดำเนินการอย่างไรกับปัญหา และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่รับปากกับลูกค้ามีการสอบถามว่ามีการดำเนินเรียบร้อยแล้วหรือยัง

วิธีการที่จะเปลี่ยนคำร้องเรียนให้เป็นความประทับใจ ต้องมาจากพื้นฐานของความจริงใจ และเต็มใจที่จะเปิดใจรับฟังคำตำหนิ เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น โดยไม่นำเอาอารมณ์ของลูกค้าขณะนั้นมาเป็นสิ่งสำคัญ และคิดวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างระวังระวังและรอบคอบ เพียงแค่นี้ก็สามารถเปลี่ยนข้อเรียนให้เป็นความประทับใจได้อย่างง่ายดาย  แต่อย่าลืมคิดหาวิธีการป้องกันก่อนข้อผิดพลาดจะเกิดขึ้นหรือหากเกิดแล้วก็คงไม่ดีแน่ ๆ ถ้าเกิดปัญหานั้นจะขึ้นซ้ำอีก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม https://line.me/R/ti/p/%40sig7939h